อาหารที่มีปริมาณเอนไซม์สูง และ มีสภาพความเป็นกรด/ด่างที่สมดุล
ReadyPlanet.com
dot dot
dot
บทความน่าสนใจ
dot
bulletออกซิเจนบำบัด
bulletเอนไซม์บำบัด
bulletสุคนธบำบัด
bulletดนตรีบำบัด
bulletพลัง SO Qi คืออะไร
bulletการแพทย์ทางเลือก
bulletพลังงานกับสิ่งมีชีวิต
dot
การบำบัดด้วยความร้อนจากอินฟราเรดระยะไกล
dot
bulletการบำบัดด้วยความร้อนจากอินฟาเรด
bulletรู้จักกับอินฟราเรดระยะไกล
bulletบทบาทในด้านการบำบัด
bulletอินฟราเรดระยะไกลกับสุขภาพ
bulletอินฟราเรดกับการบรรเทาอาการปวดเมื่อย
bulletอินฟราเรดกับความดันโลหิตสูง
bulletอินฟราเรดกับการควบคุมน้ำหนัก
bulletอินฟราเรดกับภาวะไตวายเรื้อรัง
bulletอินฟราเรดกับการขับถ่ายสารพิษโลหะหนัก
dot
การกระตุ้นบำบัดด้วยกระแสไฟฟ้า
dot
bulletการบำบัดด้วยไฟฟ้าประจุลบ Electro Therapy
bulletการบำบัดด้วย Electro Reflex Energizer
dot
มาตรการต้านมะเร็ง
dot
bulletมาตรการต้านมะเร็งอย่างได้ผล
dot
สินค้าและบริการ
dot
bulletโปรโมชั่นพิเศษ
dot
สมัครสมาชิกรับข่าวสาร

dot
dot
สินค้ายอดนิยม
dot


chi machine - soqi, อุปกรณ์กายภาพ เครื่องจัดกระดูกสันหลัง
Soqi Far Infrared Hot House
วิธีการป้องกันตัวเองจากไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ H1N1
โปรโมชั่นวันแม่ 2562


อาหารที่มีปริมาณเอนไซม์สูง และ มีสภาพความเป็นกรด/ด่างที่สมดุล

 

การรับประทานอาหารที่มีเอนไซม์สูง และ มีค่าความเป็นกรด/ด่างที่สมดุล


อาหารที่มีความเป็นกรดสูงเป็นปัจจัยหนึ่งของการพัฒนาการของเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้การที่ร่างกายมีสภาพความเป็นกรดจะเป็นสาเหตุของ โรคภัยต่างๆ ดูแก่กว่าวัย รวมถึงมะเร็ง แนวทางที่จะแก้ความเป็นกรดของร่างกาย ได้แก่การรับประทานอาหารที่มีความเป็นด่างเพื่อจะไปช่วยปรับค่า PH และ เพิ่มออกซิเจนให้แก่ร่างกายได้อีกทางหนึ่งด้วย อาหารที่มีความเป็นด่างทำให้ร่างกายแข็งแรง และ อวัยวะต่างๆทำงานได้อย่างปกติ และยังช่วยต้านโรคมะเร็งอีกด้วย

ค่าความเป็นกรด/ด่าง (PH Balance)
ค่าความเป็นกรด/ด่าง จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0 -14 โดยค่าที่ต่ำกว่า 7 คือสภาพที่เป็นกรด (หรือร่างกายมีออกซิเจนในระดับต่ำ) และ ค่าที่เกินกว่า 7 คือสภาพที่เป็นด่าง
ในสภาวะปกติ เลือด น้ำเหลือง และ ของเหลวในไขสันหลัง จะมีค่า PH ที่ประมาณ 7.4 ที่ค่า PH ที่สูงกว่า 7.4 เล็กน้อยเซลล์มะเร็งจะยังสามารถคงอยู่ได้แต่จะไม่พัฒนาหรือแพร่กระจาย แต่ที่ระดับ PH 8.5 เซลล์มะเร็งจะตายและเซลล์ที่ดีจะยังอยู่

พัฒนาการของมะเร็งเป็นไปตามระยะดังนี้:
1. ร่างกายมีการย่อยอาหารที่มีสภาพเป็นกรด อาหารที่มีไขมันสูง อาหารฟอกขาว สารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น ไนเตรด สารเคมีปนเปื้อนต่างๆ นอกจากนี้รังสีจากเอกซ์เรย์ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งด้วย
2. มีอาการท้องผูกต่อเนื่อง
3. เลือดมีสภาพเป็นกรด ซึ่งเป็นผลให้มีการเพิ่มขึ้นของเซลล์เม็ดเลือดขาว และการลดลงของเซลล์เม็ดเลือดแดง หรือ เป็นจุดเริ่มต้นของโรค ลิวคีเมีย
4. ของเหลวภายนอกเซลล์มีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น
5. ของเหลวภายในเซลล์มีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น
6. มีการกลายสภาพของเซลล์ ในระยะนี้ถือว่าเป็นระยะเริ่มแรกของมะเร็ง
7. หากร่างกายยังคงได้รับอาหารที่มีสภาพเป็นกรดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการบำบัดด้วยรังสี สารเคมี หรือ ยา ในระดับความเข้มข้นสูง จะยิ่งไปทำให้การแพร่กระจายเป็นไปได้มากขึ้น
ข้อมูลจาก “Acid Alkaline” by Herman Aihara

หากจะพูดถึงอาหารที่เป็นกรด/ด่าง เราสามารถแยกพิจารณาเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1.  อาหารที่เป็นกรดหรือด่าง หมายถึง ความเป็นกรดหรือด่างที่มีอยู่ในตัวอาหารเอง
2.  อาหารประเภทที่ก่อให้เกิดความเป็นกรดหรือด่าง หมายถึงอาหารที่หลังจากรับประทานและผ่านกระบวนการย่อยแล้ว จะไปเปลี่ยนสภาพร่างกายให้เป็น กรด หรือ ด่าง


สภาวะที่เป็นกรดจะไปขัดขวางการทำงานของเส้นประสาท ในขณะที่สภาวะที่เป็นด่างช่วยกระตุ้น การอาบน้ำเย็นก็สามารถช่วยให้เลือดมีความเป็นด่างขึ้นได้ แต่การอาบน้ำอุ่นจะให้ผลตรงกันข้าม การบริโภคอาหารที่มีความสมดุลย์จะช่วยให้ค่า PH ของเลือดสมดุลย์ได้ แม้จะใช้เวลากว่าที่จะเห็นผล หากเลือดของเราเริ่มจะมีสภาพที่เป็นกรด ร่างกายจะนำสภาพความเป็นกรดนั้นไปกักเก็บไว้ตามส่วนต่างๆโดยที่เรามองไม่เห็น เพื่อให้สภาพของเลือดมีความเป็นด่างทำให้เราดำรงชีวิตได้โดยไม่มีปัญหา เมื่อการสะสมของกรดนานวันเข้าอวัยวะที่เก็บกรดส่วนเกินนั้นไว้ก็จะเริ่มมีปัญหา หรือเซลล์บริเวณนั้นๆจะเริ่มตายไปในที่สุด


เซลล์บางเซลล์ในร่างกายอาจจะกลายสภาพแทนที่จะตายไปในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด เมื่อมันเป็นเซลล์กลายสภาพ(Malignant Cells) เซลล์นั้นจะมีสภาพที่เป็นอันตรายมาก เซลล์กลายสภาพจะไม่ตอบสนองต่อการสั่งงานของสมอง หรือไม่ได้ทำหน้าที่ตามที่รหัสความจำ DNA กำหนดไว้ เซลล์กลายสภาพจะเจริญเติบโตไม่สิ้นสุดและไม่เป็นไปตามคำสั่ง ซึ่งเราเรียกเซลล์กลายสภาพเหล่านี้ว่า มะเร็ง

อาหารที่ผู้ป่วยมะเร็งไม่ควรรับประทาน


น้ำตาล
ถือว่าเป็นอาหารที่เลวร้ายสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง เนื่องจาก น้ำตาลคืออาหารขอ่งเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้น้ำตาลยังเป็นปัจจัยให้ดูแก่เกินวัย ดังนั้นผู้ป่วยมะเร็งจึงควรงดบริโภคน้ำตาล และ อาหารที่มีน้ำตาล


ผู้ป่วยมะเร็งควรจะต้องหยุดรับประทานอาหารปรุงสุกและอาหารประเภทเนื้อ หมู แกะ และสัตว์ปีก อาหารปรุงสุกถือว่าเป็นอันตรายกับผู้ป่วยมะเร็ง เนื่องจากปริมาณเอนไซม์ที่ร่างกายจะต้องใช้ในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็งจะถูกใช้ไปในการย่อยอาหารที่ย่อยยากๆอย่างพวกเนื่อสัตว์ เอนไซม์ที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติควรจะถูกใช้ไปกับการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง การรับประทาน
เอนไซม์ (Enzyme) ซึ่งเป็นอาหารเสริมเป็นประจำอย่างต่อเนื่องจะช่วยแก้ปัญหาซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง ได้แก่ อาการท้องผูก และ เอนไซม์จะช่วยย่อยสลายของเสียในเลือด ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูสุขภาพได้เป็นอย่างดี

อาหารที่ผู้ป่วยมะเร็งควรรับประทาน

เบคกิ้งโซดา
เบคกิ้งโซดา หรือ โซเดียมไบคาร์บอร์เนต คือแหล่งอาหารที่มีความเป็นด่างสูงและให้ออกซิเจนได้มาก
Dr. Tullio Simoncini ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกวิทยาชาวอิตาลี่ ใช้วิธีทำลายเซลล์มะเร็งด้วยโซเดียมไบคาร์บอเนต ซึ่งเป็นสารที่มีความปลอดภัย ราคาถูกไม่เป็นอุปสรรคหรือไม่มีผลข้างเคียงต่อเซลล์เนื้อเยื่อ และยังเป็นตัวทำลายเซลล์มะเร็งเมื่อได้สัมผัสกับเซลล์มะเร็งจากการที่มันมีสภาพเป็นด่าง ซึ่งจะทำให้เป็นสภาวะที่ออกซิเจนสามารถเข้าถึงเนื้อเยื่อได้มากขึ้น และเนื่องจากเซลล์มะเร็งไม่สามารถจะเจริญเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมของออกซิเจน ดังนั้น โซเดียมไบคาร์บอร์เนตจึงเป็นสารที่จะปราบเซลล์มะเร็งได้

Coral Calcium
Coral Calcuim เป็นสารที่ใช้ในการขจัดความเป็นกรดและทำให้ร่างกายมีค่า PH ที่สมดุลย์
 
กระเทียม
กระเทียมมีสารที่ช่วยการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว และ ปกป้องร่างกายจากโรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำลายเนื้อเยื่อที่เจริญเติบโตผิดปกติ
Dr. Shulze หนึ่งในสุดยอดผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับธรรมชาติบำบัดและสมุนไพรบำบัดของโลก ได้ค้นพบว่า กระเทียมสามารถกระตุ้นการสร้างโปรตีนกลุ่มหนึ่งเรียกว่า Interferon ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยเสริมการทำลาย และ หยุดการเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ และยังสามารถช่วยลดอาการเจ็บปวดที่เกิดจากเนื้อร้าย
 
Cayenne Pepper
พริกป่นชนิดที่เรียกว่า Cayenne Pepper ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเซลล์มะเร็งจะเติบโตในที่ที่การไหลเวียนโลหิตไม่ดี พริกป่นถือว่าเป็นเครื่องเทศที่เก่าแก่และมีสรรพคุณในการเยียวยาได้ดีมาอย่างยาวนาน Dr. Shulze กล่าวไว้ว่าการได้รู้จักถึงสรรพคุณของพริกป่นอย่างลึกซึ้งจะช่วยให้คุณและครอบครัวรู้จัดการบำบัด ได้ดีกว่าการทีคุณรู้จักสรรพคุณแบบผิวเผินของสมุนไพรอื่นๆอีก 20 ชนิดเสียอีก

องุ่นสีม่วง
ทั้งผล ผิว และเมล็ด ขององุ่นสีม่วง แดง หรือ ดำ มีส่วนประกอบที่สามารถจะปราบเซลล์มะเร็งได้ และ ยังสามารถหยุดการแพร่กระจายเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้องุ่นม่วงยังช่วยในการขับล้างสารพิษ (Detoxify) เป็นอย่างดี

มังคุด
“จากการศึกษาเรื่องสมุนไพรจากพืชที่มีออกฤทธิ์เป็นยา พบว่า สารชนิดหนึ่งในผลมังคุด (บางตำราเรียกว่า xanthones) มีฤทธิ์ต้านเนื้อร้าย ป้องก้นลูคีเมีย ต้านเชื้อรา แบคทีเรีย (ซึ่งช้วยปกป้อง DNA) และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (ในมังคุดมีสาร Xanthones ไม่ต่ำกว่า 24 ชนิด) ซึ่งสามารถต้านการแพร่กระจายและจัดการกับเซลล์มะเร็งโดยไปเร่งกระบวนการที่ทำให้เซลล์ผิดปกติบางชนิดตาย 
 
เมล็ดแอพพริคอท (แหล่งของวิตะมิน B17)
วิตะมินบี 17 พบในเมล็ดผลไม้เกือบจะทุกชนิด โดยเฉพาะเมล็ดแอพพริคอท การใช้วิตะมินบี 17 Laetrile หรือ Amygdalin ในการบำบัดมะเร็งในมนุษย์นั้นมีมาตั้งแต่ปี 1843 และ มีรายงานในการแพทย์แผนจีนโบราณว่าได้มีการใช้เมล็ดอัลมอนด์ขม ซึ่งมีปริมาณวิตะมินบี 17 อย่างสูงในการรักษาเนื้อร้ายมากว่า 3,000 ปีแล้ว วิตะมินบี 17 หรือ Laetrile คือชื่อที่ใช้เรียกสาร Amygdalin บริสุทธิ์ ซึ่งตั้งให้โดยบริษัท Ernst T Krebs ในปี 1952


คุณอาจจะสงสัยว่า ทำไมจึงไม่มีใครทราบเรื่องนี้กันอย่างแพร่หลาย??
อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคมะเร็งมีมูลค่าถึง 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และ การค้นพบสารที่สกัดจากธรรมชาติอย่างเช่น วิตะมินบี 17 นั้น ไม่ได้ทำให้บริษัทผู้ผลิตยาแผนปัจจุบันสามารถที่จะครอบครองลิขสิทธิ์การค้นพบเพื่อต่อยอดทางธุรกิจได้นั่นเอง
ข้อเท็จจริง : เมล็ดของแอพพริคอท ซึ่งอุดมไปด้วยวิตะมินบี 17 สามารถป้องกันและปราบเซลล์มะเร็งได้ ชาวเผ่าเอสกิโม โฮปิ นาวาโฮ และ ฮันซาส มักจะรับประทานวิตะมินบี 17 กันเป็นประจำ ปรากฏว่าพวกเขาจะเป็นพวกที่ไม่เป็นมะเร็งกันเลย
มีบริษัทผู้ผลิตยาแผนปัจจุบันหลายบริษัท ได้ร่วมมือกับหน่วยงานด้านเภสัชกรบางแห่งได้พยายามผลักดันให้ FDA กำหนดให้การจำหน่ายเมล็ดแอพพริคอทดิบๆ หรือ การโฆษณาว่า วิตะมินบี 17 มีฤทธิ์ในการรักษา และ ต่อต้านมะเร็ง เป็นเรื่องที่ผิดกฏหมาย เราจึงเห็นว่าในทุกวันนี้ไม่มีการจำหน่ายเมล็ดแอพพริคอทดิบ ตามร้านอาหารเพื่อสุขภาพ แต่จะมีประเภทอบแห้งมาแล้วซึ่งเอนไซม์ต่างๆได้ถูกทำลายไปแล้ว

ชาสมุนไพร ESSIAC
ในปี 1937 Dr. John Wolfer, ผู้อำนวยการสำนักคลีนิคโรคมะเร็งแห่งมหาวิทยาลัยการแพทย์นอร์ทเวสเทอร์น ได้จัดให้มีการแถลงผลของการใช้ ชาสมุนไพร Essiac กับคนไข้ที่ชื่อ Rene Caisse ซึ่งป่วยเป็นมะเร็งและได้รับการบำบัดรักษาด้วยสมุนไพรที่คิดค้นโดยชาวอินเดียนแดง และ ได้นำมาใช้กับคนไข้มะเร็งระยะสุดท้าย 30 คน ภายใต้การดูแลของนายแพทย์ 5 คน หลังจากการบำบัดผ่านไปได้ 18 เดือน นายแพทย์ทั้งห้ามีข้อสรุปว่า ESSAIC มีสรรพคุณในการลดอาการเจ็บปวด ทำให้เนื้อร้ายทุเลาลง และ เพิ่มโอกาศในการมีชีวิตรอดออกไปได้

Marine Phytoplankton
Tom Harper ชาวแคนาดา เป็นผู้ค้นพบ Marine Phytoplankton โดยบังเอิญ Tom พบว่า Marine Phytoplankton เป็นสารอาหารที่มีคุณค่าครบถ้วนที่สุดเท่าที่หาได้ในโลกนี้ เขาใช้มันรักษาอาการมะเร็งที่กำลังฆ่าเขาอยู่ นอกจากจะรักษามะเร็งแล้ว Marine Phytoplankton ยังช่วยรักษาอาการเบาหวานที่เขาเป็นอยู่ด้วย
 




มาตรการต้านมะเร็ง

มาตรการต้านมะเร็งอย่างได้ผล
การทำให้เซลล์ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
การควบคุมอาหารในชีวิตประจำวัน
การล้างพิษ (Detoxification)
การบำบัดด้วยความร้อนจากอินฟราเรดระยะไกล
การสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย



Copyright © 2010 All Rights Reserved.